กระต่าย-สายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ ดวอฟ





เมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ. 1880 หรือราว พ.ศ. 2423 ที่ประเทศอังกฤษ ได้ปรากฏว่ามีกระต่ายสายพันธุ์ดัทช์ได้ให้กำเนิดลูกหลากหลายครอกที่มี สีขาวแต่มีลายสีต่างๆ ไม่เป็นสีขาวทั้งตัว มีตาสีแดง มีลักษณะลำตัวที่เล็ก สั้นกระทัดรัด มีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1.6 ถึง 2 กิโลกรัม แต่มีขนที่นุ่มลื่นสวยงาม ซึ่งเป็นที่มาของกระต่ายโปลิช (Polish) แม้ว่ากระต่ายที่ได้จะยังมีเลือดที่ไม่นิ่ง แต่การผสมแบบในสายเลือด (Line Breeding) ทำให้ได้กระต่ายในรุ่นต่อมาที่มีสีขาวมากขึ้น จนกระทั่งได้กระต่ายสีขาวล้วน ตาสีทับทิม (Ruby-Eyed White) ที่เป็นต้นกำเนิดของกระต่ายเนเธอร์แลนด์ดวอฟ ในปัจจุบัน

ด้วยแรงบันดาลใจจากการนำเข้ากระต่ายสายพันธุ์โปลิช มายังสหราชอาณาจักรอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1884 หรือ พ.ศ. 2427 กระต่ายพันธุ์โปลิชจากประเทศเยอรมัน ได้ถูกนำมาผสมข้ามพันธุ์กับกระต่ายป่าในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่มีขนาดเล็กโดยบังเอิญ จนทำให้เกิดการถ่ายทอดยีนส์แคระลงในกระต่ายพันธุ์โปลิช ทำให้มีขนาดเล็กและมีลำตัวที่สั้นลง ในเวลานั้นกระต่ายแคระ จึงมีแต่สีขาวล้วนและมีตาสีทับทิม

ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กระต่ายแคระ สีขาวตาฟ้า (Blue-Eyed White) ได้ถือกำเนิดขึ้นในจักรวรรดิเยอรมัน แต่ลักษณะของกระต่ายแคระสีขาวตาฟ้าในขณะนั้นจะมีโครงสร้างกระดูกที่ใหญ่ ลำตัวที่ยาวกว่า ขนหยาบและสั้นกว่าของขาวตาทับทิม จนกระทั่งถึงช่วง ปลายทศวรรษปี 1930 หรือราว พ.ศ. 2480-2483 กระต่ายแคระที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในขณะนั้น จึงมีเพียงแค่ 2 ประเภทสีเท่านั้น คือ ขาวตาทับทิม และ ขาวตาฟ้า

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1948 หรือ พ.ศ. 2491 ถือได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้นของกระต่ายเนเธอร์แลนด์ดวอฟ เนื่องจากกระต่ายสายพันธุ์นี้ได้ถูกนำเข้าไปยังสหราชอาณาจักรอังกฤษ โดยนักพัฒนาสายพันธุ์กระต่าย และในปี ค.ศ. 1969 หรือ พ.ศ. 2512 กระต่ายสายพันธุ์นี้ ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา จนได้รับการยอมรับจากสมาคมนักพัฒนาพันธุ์กระต่ายแห่งสหรัฐอเมริกา (TheAmerican Rabbit Breeders Association, Inc. หรือ ARBA) โดยมีการปรับปรุงข้อกำหนดของรายละเอียดมาตรฐานสายพันธุ์จากของสภากระต่ายแห่งสหราชอาณาจักร (The British Rabbit Council) เพียงนิดหน่อยเท่านั้น

สำหรับในประเทศไทย เมื่อปลายปี ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 ได้มีการนำเข้ากระต่ายสายพันธุ์นี้คุณภาพระดับประกวดจากสหรัฐอเมริกา สำหรับสมาชิกชมรมคนรักกระต่ายแห่งประเทศไทย สีที่นำเข้ามาในขณะนั้น คือสีขาวตาฟ้า สีดำสร้อยทอง(Black Otter) และสีดำสร้อยเงิน (Black Silver Marten) และในปีต่อมา ก็ได้มีการนำเข้า สีต่างๆ ที่แปลกและสวยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สีทองแดง (Siamese Sable) สีควันบุหรี่ (Siamese Smoke Pearl) สีฮิมาลายัน(Himalayan) และสีที่หายาก อย่างสีวิเชียรมาศ (Sable Point) หรืออย่าง สีพื้นเช่น สีดำ สีบลู (Blue) สีชอกโกแลต ทำให้ในขณะนี้ ประเทศของเราก็มีกระต่ายสายพันธุ์นี้ในประเภทสีต่างๆ มากมาย ดังที่ได้เห็นกันแล้วตามงานประกวดต่างๆ และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็มีการนำเข้ากระต่ายสายพันธุ์นี้จากประเทศต้นกำเนิดคือ เนเธอร์แลนด์ ความแตกต่างหลักๆของกระต่ายจากสหรัฐอเมริกาและจากเนเธอร์แลนด์ นอกเหนือจากลักษณะทางกายภาพ อันได้แก่ น้ำหนัก หุ่น รูปทรง หัว กะโหลก และลำตัว ระบบเพดดีกรีและการจดทะเบียนของสหรัฐอเมริกาถือได้ว่ามีระบบที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งดีกว่าของกระต่ายทางเนเธอร์แลนด์ ซึ่งยังไม่มีการจดทะเบียนที่มีระบบ จึงทำให้กระต่ายจากทางสหรัฐอเมริกามีคุณภาพและราคาที่สูงกว่า

ในปัจจุบันสายพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงมากในวงการนักพัฒนาสายพันธุ์กระต่ายสวยงาม จนถือได้ว่าเป็น อัญมณีแห่งวงการกระต่ายสวยงาม (Gem of the Fancy Rabbits)

ลักษณะมาตรฐานของสายพันธุ์โดยทั่วไปของสายพันธุ์กระต่ายแคระเนเธอร์แลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์ดวอฟ คือ มีลำตัวสั้น กะทัดรัด ไหล่ สะโพก ความสูง มองดูโดยรวมแล้วสมมาตรกันอย่างสวยงาม หัวมองดูกลม ไม่ว่าจะมองจากมุมใด คอสั้นมากเท่าที่จะเป็นไปได้ หูตั้ง ตรง มีขนเต็ม และมีความแน่น ไม่บางจนเกินไป ตากลม โต สดใส ขนดูแลรักษาง่าย เวลาหวีย้อนแนวขน ขนสามารถกลับมาเป็นทรงเดิมได้

น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ในอุดมคติคือ 0.9 กิโลกรัม
น้ำหนักมากที่สุดที่สามารถจดทะเบียนได้ 1.15 กิโลกรัม


รูปร่าง ทรง และลักษณะทั่วไป

ลำตัว ลำตัวต้องสั้น เล็กกะทัดรัด ไหล่หนา และมีความกว้างเท่ากับความกว้างของสะโพก ความกว้างและส่วนสูงจะต้องใกล้เคียงกัน ไหล่โค้งได้รูปรับกับส่วนโค้งของสะโพกที่กลมกลึง ซึ่งทำให้เน้นความสูงของตัวกระต่าย โดยที่ความกว้างและส่วนสูงจะต้องสมดุลกัน
หัว หัวโต มีขนาดใหญ่สมดุลกันกับลำตัว ตัวผู้จะมีหัวใหญ่กว่าตัวเมีย หัวเป็นทรงกลมเมื่อมองจากทุกทิศทาง ส่วนโค้งของหัวมองดูกลมไม่มีสะดุด หัวตั้งสูงและติดกับไหล่มากที่สุด
หู หูจะต้องสั้นและตั้งอยู่บนส่วนหัว หูตั้งแต่ไม่จำเป็นต้องชิดติดกัน มีขนเต็มสม่ำเสมอ แสดงถึงความมีเนื้อของส่วนฐานของหู ปลายหูมน ความยาวของหูในอุดมคติคือ 2 นิ้ว ขนาดของหูต้องสมดุลกันกับหัวและลำตัว
ตา ดวงตาต้องกลม โต สดใส สีของตาต้องตรงตามมาตรฐานของประเภทสีที่ทำการประกวด ดังจะได้กล่าวถึงในรายละเอียดในเล่มต่อไป เช่น สีบลูหรือสีสวาดหรือสีเทาควันบุหรี่ ต้องมีตาสีเทา เป็นต้น ข้อยกเว้นในกระต่ายสีช็อกโกแล็ต สีไลแลคหรือสีเทากาบบัว และกลุ่มสีเฉด รวมถึงพวกสร้อยเงิน รูม่านตาอาจจะเป็นสีแดงสะท้อนออกมาได้ เรียกว่า Ruby Glow หรือRuby Red Reflection ในแสงปกติ ซึ่งกรรมการไม่ควรที่จะมาคำนึงถึงตรงส่วนนี้เวลาประกวด เพราะว่าไม่มีกระต่ายตัวไหนที่จะถูกตัดสิทธิ์หรือถูกหักคะแนนจากการที่มีสีแดงสะท้อนออกมาจากรูม่านตา
หาง ลักษณะของหางต้องตรง และมีขนเต็ม ถึงแม้ว่าจะไม่มีการให้คะแนนในส่วนหางของกระต่าย แต่ถ้าหางมีลักษณะที่บกพร่องบ้าง ก็อาจจะถูกหักคะแนนบ้างจากลักษณะประกอบอื่นๆ แต่ถ้าบกพร่องมาก ก็อาจจะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวดได้เช่นกัน
ขน ลักษณะขนต้องเป็นแบบโรลแบ็ค (Rollback) เท่านั้น โรลแบ็ค หมายถึง ลักษณะขนที่เมื่อใช้มือลูบย้อนแนวขน ขนจะค่อยๆ กลับคืนตัวสู่ตำแหน่งเดิม คุณภาพของขนต้องนุ่ม หนาแน่นสม่ำเสมอกัน ขนไม่ตายและเป็นมันเงางาม
สี ลักษณะของสีขนและสีตาต้องตรงกันตามมาตรฐานของสีนั้นๆ สีเล็บก็ต้องตรงตามมาตรฐานของสีนั้นๆ ด้วย กระต่ายจะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด เมื่อปรากฏเล็บขาว ในกระต่ายสี สุดท้ายสีขนชั้นนอกและสีขนชั้นในไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด

ลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ ไหล่แคบ ลำตัวยาวและแคบ หัวไหล่หรือสะโพกแคบ ส่วนโค้งหลังแบนราบไม่โค้ง ดังนั้นถ้าความกว้าง ความยาวและส่วนสูง ไม่สัมพันธ์กัน จึงถือว่าเป็นลักษณะที่บกพร่องทั้งสิ้น ลักษณะหัว ที่มีจมูกแหลม บาน หรือแบน ถือเป็นลักษณะที่ไม่ต้องการ หัวใหญ่หรือเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับตัว หัวไม่สมดุลกับตัวและหู หัวขาดความกลมถือเป็นลักษณะที่บกพร่องทั้งสิ้น หูบาง หูงอ หูพับ ขนที่หูไม่สม่ำเสมอ หูแบน หูเป็นรูปตัววีกางมากเกินไป เส้นขนยาวเกินไป ขนบาง ขนไม่หนาแน่น กระต่ายอยู่ในช่วงผลัดขน สีจางไม่เท่ากัน หรือมีสีปะคือมีสีอื่นปรากฏขึ้นมาในที่ที่ไม่ควรเป็น และที่ยอมไม่ได้มากที่สุดคือ ขนปรากฏเป็นแบบฟลายแบ็ค (Flyback) คือเมื่อลูบขนย้อนแนว จะตีกลับสู่ตำแหน่งเดิมในทันที ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้กระต่ายเนเธอร์แลนด์ดวอฟแตกต่างจากกระต่ายพันธุ์โปลิช

ลักษณะที่ปรับเป็นโมฆะจากการประกวด เมื่อมีเหนียงใต้คอ กระต่ายที่มีหูยาวเกิน 2 นิ้วครึ่ง เมื่อกระต่ายประกวดในกลุ่มสีใดๆ ถ้าหากปรากฏว่ามีขนแซมสีขาวขึ้นมา หรือกระต่ายสีขาว หรือกลุ่มสีฮิมาลายัน แต่ขนสีอื่นปรากฏแซมขึ้นมา จะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด

การจัดท่าทาง เวลาประกวดกระต่ายเนเธอร์แลนด์ดวอฟ จะจัดระเบียบร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติของสายพันธุ์นี้ที่สุด คือ ไม่ควรยืดลำตัวให้ยาวออก หรือดันมาให้ติดกัน ไม่ควรจัดท่าให้กระต่ายอยู่ในท่ายืนถ่ายน้ำหนักไปที่ขาหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดความสูง และความสมดุลของตัวกระต่ายจะหายไป ทำให้ตัวกระต่ายไม่แลดูสั้นและกะทัดรัด การจัดระเบียบร่างกายที่ดีคือ ต้องแสดงถึงความสมดุลกันทั้งความกว้าง ความยาวและส่วนสูง ซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดของกระต่ายแคระ



กระต่ายสายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ดวอฟเป็นกระต่ายที่จัดได้ว่า มีสีให้เลือกได้มากมายมากที่สุดในบรรดากระต่ายสายพันธุ์ต่างๆทั้งหมดที่มี คือสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มสี และมีสีหรือลักษณะสีย่อยๆ อีกกว่า 24 สี สีตามมาตรฐานที่สมาคมพัฒนาพันธุ์กระต่ายแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ ARBA กำหนดให้มีการประกวดในกระต่ายสายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ดวอฟ มีกลุ่มสีถึง 5 กลุ่มสี ได้แก่ กลุ่มสีพื้น (Self Varieties) กลุ่มสีเฉด (Shaded Varieties) กลุ่มสีขนอะกูติ (Agouti Varieties) กลุ่มแทนหรือกลุ่มมีสร้อย (Tan Varieties) และกลุ่มสีอื่นๆ Any Other Varieties)
กลุ่มสีพื้น (Self Varieties) คือกลุ่มสีขนที่มีสีขนสีเดียวเหมือนกันตลอดทั้งตัว ประกอบด้วย 5 สี 6 ประเภท ได้แก่
สีดำ
สีบลู (Blue)-เป็นสีเทาเข้ม (สีเรือรบ) เหมือนสีของแมวสีสวาด
สีช็อกโกแล็ต
สีไลแลค (Lilac)
สีขาวตาฟ้า (Blue Eyed White) และ
ขาวตาทับทิม (Ruby Eyed White)
กลุ่มสีเฉด (Shaded Varieties) คือกลุ่มสีขนที่มีความเข้มของสีเดียวกันในแต่ละตำแหน่งของตัวไม่เท่ากัน ตำแหน่งที่มีความเข้มของสีแตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ จมูกและขาทั้งสี่ จะมีสีที่เข้มกว่า ส่วนอื่นๆของตัว ประกอบด้วย 4 สี ได้แก่
สีซาเบิ้ลพอยท์ (Sable Point)-เป็นสีครีมทั้งตัว มีแต้มสีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีของแมววิเชียรมาศ
สีซาเบิล (Siamese Sable)-เป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม เหมือนสีของสุนัขไทยสีทองแดง
สีเทาควันบุหรี่ (Siamese Smoke Pearl)-เป็นสีเทาควันบุหรี่
สีกระ (Tortoise Shell)-เป็นสีกระ เหมือนสีของกระดองเต่ากระ พื้นขนออกสีน้ำตาล แต่มีแต้มที่จมูกและขาเป็นสีน้ำตาลที่เข้มกว่า
กลุ่มสีขนอะกูติ (Agouti Varieties) คือกลุ่มสีขนที่มีสีขนมากกว่าหนึ่งสีในขนเส้นเดียวกัน เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิดจะเห็นขนถูกแบ่งเป็นสามแถบอย่างชัดเจน ประกอบด้วย 5 สี ได้แก่
สีเชสนัท (Chestnut)-เป็นสีน้ำตาลเชสนัท แซมดำที่ปลายขนเหมือนสีกระต่ายป่า
สีชินชิลล่า (Chinchilla)-เป็นสีเทาแซมดำที่ปลายขนเหมือนสีตัวชินชิลล่า
สีลิงซ์ (Lynx)-เป็นสีส้มแซมสีเทาเงิน
สีโอปอล (Opal)-เป็นสีฟางข้าว ขนชั้นในเป็นสีบลู
สีกระรอก (Squirrel)-เป็นสีเทา แซมบลู หรือเทาเข้มที่ปลายขน เหมือนสีของกระรอก

กลุ่มแทนหรือกลุ่มมีสร้อย
(Tan Varieties)
แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือประเภทที่มีขนสีพื้นเป็นสีตามที่กำหนดไว้คือ สีดำ สีบลู สีช็อกโกแล็ต หรือสีไลแลค และอีกกลุ่มคือประเภทที่มีสีทองแดงและสีเทาควันบุหรี่ แต่ที่สำคัญคือ สำหรับสีทุกประเภทจะต้องมีสร้อยหรือเป็นแถบขนสีขาวหรือสีที่กำหนดพาดที่คอ แลดูเหมือนกับสร้อย และผ้าพาดคอพาดอยู่
กลุ่มสร้อยทอง (Otter)-เป็นประเภทที่มีขนสีพื้นเป็นสีตามที่กำหนดไว้คือ สีดำ สีบลู สีช็อกโกแล็ต หรือสีไลแลค ที่บริเวณหัว หูส่วนนอก หลังเท้าหน้า ส่วนนอกของขาหลัง และส่วนหลังและลำตัวด้านข้าง แต่จะมีมาร์กกิ้งที่คอ (ส่วนกราม) หลังคอเป็นรูปสามเหลี่ยม ส่วนท้อง จมูกส่วนล่าง รอบดวงตา หางส่วนล่าง หูส่วนใน และส่วนในของขาหน้าและขาหลัง จะเป็นสีครีม แต่มีสีส้มแซมเป็นมาร์กกิ้งในกระต่ายสีพื้นดำหรือช็อกโกแล็ต หรือมีสีฟางข้าวแซมเป็นมาร์กกิ้งในกระต่ายสีพื้นบลูและไลแลค ทำให้แลดูเหมือนเป็นสร้อยทองคล้องอยู่
กลุ่มสร้อยเงิน (Silver Marten)-เป็นประเภทที่มีขนสีพื้นเป็นสีตามที่กำหนดไว้เหมือนกับของกลุ่มสร้อยทอง แต่จะมีมาร์กกิ้งที่คอ (ส่วนกราม) หลังคอเป็นรูป
สามเหลี่ยม ส่วนท้อง จมูกส่วนล่าง รอบดวงตา หางส่วนล่าง หูส่วนใน และส่วนในของขาหน้าและขาหลัง จะเป็นสีเทาเงิน ทำให้แลดูราวกับว่ามีสร้อยเงินคล้องอยู่
กลุ่มสร้อยนาค (Tans)-เป็นประเภทที่มีขนสีพื้นเป็นสีตามที่กำหนดไว้เหมือนกับของกลุ่มสร้อยทองและสร้อยเงิน แต่จะมีมาร์กกิ้งที่คอ (ส่วนกราม) หลังคอเป็นรูป สามเหลื่ยม ส่วนท้อง จมูกส่วนล่าง รอบดวงตา หางส่วนล่าง หูส่วนใน และส่วนในของขาหน้าและขาหลัง จะเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม คล้ายสีนาค ทำให้เหมือนมีสร้อยนาคอยู่
สีทองแดงสร้อยเงิน (Sable Marten)-เป็นสีทองแดง แต่มีมาร์กกิ้งต่างๆ คล้ายกับของกลุ่มสร้อยเงิน
สีเทาควันบุหรี่สร้อยเงิน (Smoke Pearl Marten)-เป็นสีเทาควันบุหรี่ แต่มีมาร์กกิ้งต่างๆ คล้ายกับของกลุ่มสร้อยเงิน
หมายเหตุ ลำดับที่ใช้ในการอธิบายอาจจะแตกต่างไปจากลำดับที่ใช้ในการประกวดคือ Otter – Sable Marten – Silver Marten – Smoke Pearl Marten – Tans ทั้งนี้เพื่อความง่ายต่อการอธิบายและความเข้าใจ

กลุ่มสีอื่นๆ
(Any Other Varieties) คือกลุ่มสีที่ไม่สามารถจัดให้เข้าอยู่กับกลุ่มสีอื่นๆ ข้างต้นได้ เป็นกลุ่มสีที่มีลักษณะเฉพาะตัว มี 4 สีด้วยกัน ได้แก่
สีฟางข้าว (Fawn)
กลุ่มหิมาลายัน (Himalayan)-กลุ่มที่มีสีขนพื้นลำตัวเป็นสีขาว แต่มีแต้มที่ จมูก หูทั้งสอง ขาทั้งสี่ และหาง โดยจะต้องมีสีตามที่กำหนดไว้คือ สีดำ สีบลู สีช็อกโกแล็ต และสีไลแลค แต่ที่สำคัญคือ จะต้องมีตาสีทับทิม
สีส้ม (Orange) และ
สีสนิมเหล็ก (Steel)-มีสีดำทั้งตัว และมีปลายขนเป็นสีน้ำตาล

เนื่องจากคะแนนที่ให้สำหรับสีมีมากถึง 15 คะแนน หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะของสีขนและสีตาจึงต้องตรงกันตามมาตรฐานของสีนั้นๆ นอกจากนี้ สีเล็บก็ยังต้องตรงตามมาตรฐานของสีนั้นๆ อีกด้วย กระต่ายจะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด โดยเฉพาะเมื่อปรากฏเล็บขาวในกระต่ายสี สุดท้ายสีขนชั้นนอกและสีขนชั้นในไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ก็ถือว่าเป็นลักษณะที่บกพร่องและถูกหักคะแนนได้

ลักษณะที่ปรับเป็นโมฆะหรือจะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด คือเมื่อกระต่ายประกวดในกลุ่มสีใดๆ ถ้าหากปรากฏว่ามีขนแซมสีขาวขึ้นมาอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน หรือมีจำนวนมากเกินไป หรือกระต่ายสีขาวหรือกลุ่มสีหิมาลายันแต่มีขนสีอื่นปรากฏแซมขึ้นมา เราจะถือว่ากระต่ายตัวนั้นมีลักษณะที่ต้องถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากกระต่ายสายพันธุ์นี้ยังไม่ได้กำหนดให้มีมาตรฐานของกระต่ายที่มีลายหรือเป็นสีขาวจุด หรือสีขาวปะ เพราะฉะนั้น กระต่ายที่มีลายทั้งหมด (หรือเรียกว่า Broken) หรือกระต่ายที่เป็นลายหน้ากาก (หรือ Dutch mark) ก็ถือว่าไม่ตรงตามมาตรฐานสำหรับการประกวดของ ARBA ดังนั้นการเลือกซื้อกระต่ายสายพันธุ์นี้ ให้ถูกต้องตามสีมาตรฐาน และเพื่อใช้ประกวด จะต้องจำไว้ว่า สีจะต้องตรงตามสีหรือกลุ่มสีทั้ง 24 นี้เท่านั้น แต่ถ้าเลี้ยงเล่นๆ ก็ไม่ว่ากัน



ภาพวาดร่างวาดโดย คุณธีโอ แจนเซ่น นักพัฒนาพันธุ์กระต่ายสายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ดวอฟที่มีชื่อเสียง ชาวเนเธอร์แลนด์ จากภาพอธิบายได้ว่า ลักษณะของกระต่ายสายพันธุ์นี้ ที่สวยงามระดับประกวด จะต้องมองดูจากด้านข้างแล้ว เหมือนวงกลมสามวง คือที่หัว ตัวและสะโพก ที่จะต้องมีขนาดที่สมดุลกันทั้งหมด หรืออาจจะมองได้ว่ามี สี่เหลี่ยมผืนผ้า 6 ส่วน




Cardit:http://www.thairabbitclub.com/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment

My Blog List

Labels

กระต่าย - กระต่ายท้องอืด กระต่าย - จะผสมกระต่ายเมื่ออายุเท่าไหร่ กระต่าย-ดูแลกระต่ายท้อง กระต่าย-สายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ ดวอฟ กระต่าย-สายพันธุ์พันธุ์อเมริกัน ฟัซซี่ ลอป กระต่าย-สายพันธุ์พันธุ์ฮอลแลนด์ ลอป การดูเพศกระต่าย ชูการ์ ไกลเดอร์ (sugar glider) ชูการ์ ไกลเดอร์ (sugar glider) - สายพัพธุ์ ชูการ์ไกลเดอร์ พันธุ์กระต่าย แมว - 4 สายพันธุ์แมวไทยที่เหลืออยู่ แมว - โรคช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว หรือเรียกสั้นๆ FIP แมว-โรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจของแมว แมว-โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา แมว-โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ แมว-โรคเอดส์แมว รวมโรคน้องกระต่าย หนูแก๊สบี้-พืชที่เป็นอันตรายกับหนูแก๊สบี้ หนูแก๊สบี้-โรคคอเอียง หนูแก๊สบี้-สายพันธุ์หนูแก๊สบี้